เรื่องย่อมหาภารตะ
มหากาพย์เรื่องยาวที่มีชื่อเสียงของอินเดียโบราณเคียงคู่มากับมหากาพย์รามายณะ หรือรามเกียรติ์บ้านเรานั้นเอง มหากาพย์สองเรื่องนี้เป็นไม่ใช่วรรณกรรมทั่วๆไปแต่จัดเป็นคัมภรีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูเลยทีเดียว กล่าวกันว่าใครอ่านคำภีร์สองเล่มนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ล้างบาปได้!! มหากาพย์เรื่องยาวที่มีชื่อเสียงของอินเดียโบราณเคียงคู่มากับมหากาพย์รามายณะ หรือรามเกียรติ์บ้านเรานั้นเอง มหากาพย์สองเรื่องนี้เป็นไม่ใช่วรรณกรรมทั่วๆไปแต่จัดเป็นคัมภรีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูเลยทีเดียว กล่าวกันว่าใครอ่านคำภีร์สองเล่มนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ล้างบาปได้!! สำหรับคนไทยแล้วอาจมีความคุ้นเคยกับเรื่องมหาภารตะน้อยกว่ารามเกียรติ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว 2 เรื่องยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เนื้อเรื่องว่าด้วยสงครามระหว่างพี่น้องวงศ์กษัตริย์เลือดเนื้อเชื้อไขบรรพบุรุษเดียวกันคือ พวกปาณฑพ(ปาน-ดบ) และ พวกเการพ(เกา-รบ) ปมแห่งความขัดแย้งได้ก่อตัวตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กเล็กถึงโตเป็นกษัตริย์ปกบ้านครองเมือง ต้นเหตุหลักๆของเรื่องก็ไม่พ้นเรื่องคลาสสิคแห่งการเกิดสงครามทั่วๆไปคือ ความขัดแย้งเชิง ความริษยา การชิงดีชิงเด่น ผลประโยชน์ ผู้หญิง การพนัน การคดโกง!! ฯลฯ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องก็ได้ชี้ให้เห็นว่า ญาติผู้ใหญ่พยายามหาทางออกทุกทางเพื่อให้ความขัดแย้งได้คลี่คลาย แต่ก็ล้มเหลว เนื่องจากความขัดแย้ง สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลข้ออ้าง ที่ยากจะกล่าวได้ว่าฝ่ายใดผิดถูกไปกว่ากัน พวกบรรดาญาติสนิทมิตรสหายประชาชนก็แตกแยกกันเข้าข้างใดข้างหนึ่ง แล้วสถานการณ์ได้ยืดเยื้อมาจนถึงจุดที่มิอาจกระทำการประณีประนอมสมานฉันท์อะไรกันได้อีก สงครามเท่านั้น คือทางออก!! สองฝ่ายก็ได้รบพุ่งประจัญบานกันที่ทุ่งกุรุเกษตร เป็นเวลาถึง 18 วันท้ายที่สุดสงครามยุติ ฝ่ายปาณฑพเป็นฝ่าย ชนะ
จุดเริ่มต้นก่อเกิดเรื่องราวจนเป็นมหากาพย์ตำนานอันยิ่งใหญ่
''มหาภารตะ'' ในมหาภารตะชุดที่ 1
เป็นการเปิดตำนานเล่าเรื่องโดยเริ่มต้นจากการลำดับวงศ์กษัตริย์แห่งราชวงศ์กุรุโดยตำนานเริ่มจากพระราชาชื่อ
ท้าวศานตนุแห่งราชวงศ์กุรุเป็นสำคัญ
ท้าวศานตนุแต่งงานกับเจ้าแม่คงคามีลูกชายด้วยกัน ชื่อ ภีษมะ
ต่อมาท้าวศานตนุแต่งงานใหม่กับลูกสาวชาวประมงชื่อ
สัตยวดี มีลูกชายด้วยกันสองคนคือ จิตรางคทะ กับวิจิตรวีรยะ
ลูกชายของท้าวศานตนุที่เกิดจากนางสัตยวดี
เพราะความโลภของสัตยวดีและการเสียสละของภีษมะ และศานตนุ
ต่างฝ่ายต่างก่อให้เกิดคำสัตย์สาบานที่น่าเกรงกลัวขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เรื่องราวยังคงดำเนินต่อมาอีก25ปี
จนถึงยุคของเจ้าชายแห่งหัสตินาปุระ,วิจิตรวีรยะที่มีแต่ความอ่อนแอและไม่เอาไหน
เพราะยึดติดกับคำสาบาน
ภีษมะต้องคอยช่วยเหลือเขาอยู่ร่ำไป
สัตยวดีด้วยสัญชาตญาณของมารดา
เข้าข้างบุตรของตนและเตือนภีษมะว่าวิจิตรวีรยะคือความรับผิดชอบของเขา พอถึงวัยเติบโต ความปรารถนาของสัตยวดีและคำสัตย์ของภีษมะ,นำมาซึ่งผลหลายอย่าง
เพื่อการอภิเษกสมรสของเจ้าชายที่อ่อนแอเช่นวิจิตรวีรยะ
สัตยวดีสั่งให้ภีษมะเดินทางไปสู่ขอบุตรสาวทั้ง3ของกษัตริย์แคว้นกาสี ภีษมะได้ทำให้เกิดเรื่องที่มิได้เจตนาและมิอาจรู้ว่าได้ทำลายความรักของอัมพาและมหาราชย์ศาลวะ
ความอับอายนี้ทำให้นางโกรธแค้นและนำไปสู่การต่อสู้กันระหว่างปรศุรามและภีษมะ
อาจารย์และศิษย์
จนมหาเทพได้ปรากฎกายขึ้นและยุติการต่อสู้ในครั้งนี้
อัมพาผู้ที่ตกอยู่ในความเจ็บปวดภาวนาและวิงวอนต่อองค์มหาเทพศิวะ มหาเทพตอบเพียงว่าหลังจากยี่สิบห้าปี,นางจึงจะได้รับความช่วยเหลือ นางจึงบูชายัญตัวเองเป็นการตอบโต้
ต่อมา วิจิตรวีรยะตายไปโดยไม่มีลูกสืบวงศ์ต่อ
ในขณะที่ภีษมะเองก็ถือคำสัตย์สาบานจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง
ทำให้พระนางสัตยวดีต้องไปขอร้องให้วยาสซึ่งเป็นลูกนอกสมรสที่เกิดกับฤาษีปราศร
ตั้งแต่ยังไม่ได้กับท้าวศานตนุ
ซึ่งบวชเป็นฤาษีให้มาช่วยเป็นต้นเชื้อเพื่อมิให้สิ้นราชวงศ์
ฤาษีวยาสซึ่งมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดและสกปรกรกรุงรังยอมตกลงมามีความสัมพันธ์กับเมียหม้ายของวิจิตรวีรยะทั้งสองคน
คนแรกตอนมีความสัมพันธ์กันนั้นนอนหลับตาด้วยความขยะแขยงลูกที่ออกมาจึงตาบอดและมีชื่อว่า
ธฤตราษฎร์ ส่วนคนที่สองตอนมีความสัมพันธ์กัน
แม้ไม่ได้หลับตาแต่ก็กลัวจนเนื้อตัวซีดขาวไปหมด
ลูกที่ออกมาจึงไม่แข็งแรงและมีเนื้อตัวซีดขาวตามไปด้วย เด็กคนนี้มีชื่อว่า ปาณฑุ
ฤาษีวยาสยังไปมีความสัมพันธ์กับคนรับใช้ในราชสำนัก
แบบเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้อีกคน
สำหรับรายนี้ซึ่งมีความสัมพันธ์กันปกติและไม่ได้รังเกียจอะไรลูกที่ออกมาจึงเป็นปกติมีชื่อว่า
วิฑูรเมื่อลูกชายสามคนของฤาษีวยาสโตขึ้น
เจ้าชายปาณฑุขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาแคว้นกุรุเมื่อถึงวัยอันควร ตามลำดับ
ต้องเป็นธฤตราษฎร์ลูกคนโต แต่ด้วยความเหมาะสม เนื่องจากธฤตราษฎร์ตาบอด
บัลลังก์จึงตกแก่น้องชาย
เป็นเหตุให้มีการผิดใจกันอยู่กลายๆภีษมะซึ่งทำหน้าที่อภิบาลร่วมกับพระนางสัตยวดีได้จัดการให้หลานชายทั้งสองคนแต่งงาน
เจ้าชายคนที่ตาบอดแต่งงานกับเจ้าหญิงคานธารี คานธารีเมื่อเห็นว่าพระสวามีตาบอดจึงปิดตาเพื่อจะได้เข้าใจในความทุกข์ของสวามีโดยให้สัตจะว่าจะไม่เปิดผ้าปิดตาออกอีกตลอดไป
และมีลูกด้วยกัน 100 คน ลูกชายคนโตชื่อ ทุรโยธน์ ส่วนเจ้าชายปาณฑุมีเมียสองคน เมียคนแรกชื่อ
กุนตี ซึ่งก่อนจะมาแต่งงานด้วยความไม่รู้ หลังจากได้พรในการขอบุตรจากเทพ
ทำให้นางได้ขอบุตรจากเทพพระอาทิตย์ชื่อว่า กรรณะ
การเชิญเทพของนางในครั้งนี้เกิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ทันได้นึกถึงผลที่ตามมา
เลยทำให้ต้องทิ้งลูกชายไปเพราะเป็นบุตรที่เกิดโดยที่นางยังไม่มีสวามี
แล้วมาแต่งงานกับเจ้าชายปาณฑุ
ส่วนเมียคนที่สองชื่อ มัทรี แต่ก็เกิดเหตุแห่งคำสาปแช่งทำให้ไม่สามารถมีบุตร
จึงสละราชย์ไปอยู่ในป่า
และได้ขอลูกจากเหล่าเทพด้วยพรของกุนตีมีลูกด้วยกันสามคน คือ ยุธิษฐิระ เป็นลูกที่เกิดจากธรรมเทพ
ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม ภีมะเป็นลูกที่เกิดจากเทพวายุ อรชุนเป็นลูกที่เกิดจากพระอินทร์
ส่วน มัทรี นั้นได้ขอให้กุนตีให้พรนั้นแก่ตนบ้างจึงได้มีลูกแฝดชื่อ นุกุล กับ
สหเทพ เกิดจาก เทพแฝดคือ เทพอัศวิน
แต่แล้วเจ้าชายปานฑุพระชนมายุไม่ยืนสิ้นพระชนม์ไปก่อนเวลาอันควร
ทำให้ราชสมบัติที่ได้ตกเป็นของพี่ชายคือเจ้าชายธฤตราษฎร์ไปและเคยมีข้อตกลงเป็นนัยว่าจะส่งมอบราชสมบัติให้กับลูกของเจ้าชายปาณฑุกลับคืนไปเมื่อถึงเวลาอันควร
ด้วยเหตุนี้ลูกทั้งห้าของพระราชาปาณฑุและลูกทั้งร้อยของพระราชาธฤตราษฎร์จึงได้รับการเลี้ยงดูภายในราชสำนักกรุงหัสตินาปุระแบบโตมาด้วยกันแต่น่าเสียดายว่าได้เกิดความบาดหมางระหว่างลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่วัยเยาว์
ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเรื่องในอนาคตว่าฝ่ายใดจะได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์
ลูกของท้าวปาณฑุหรือว่าลูกของท้าวธฤตราษฎร์เป็นสำคัญ. . . .
ช่วงเยาว์วัยถึงวัยหนุ่มของเหลาเจ้าชาย ''มหาภารตะ'' ใน '' มหาภารตะชุดที่ 2 '' ภีษมะตอนนี้ทรงชราภาพแล้วเข้ามารับผิดชอบอบรมเลี้ยงดูภราดาทั้งสองกลุ่ม
เจ้าชายทั้งสองฝ่ายนี้ต่างก็เอาแต่แข่งขันต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา
พยายามแม้กระทั่งสังหารอีกฝ่าย วันหนึ่งโทรณะ ครูและผู้ชำนาญสรรพาวุธ
ปรากฏตัวขึ้นและเสนอตัวเข้ามาสอนเจ้าชายน้อยทั้งปวง
โทรณะมีภารกิจลับนั่นคือการแก้แค้นการดูถูกเหยียดหยามที่เพื่อนเก่าคนหนึ่งกระทำไว้แก่ตนขณะยังหนุ่ม
ในการอบรมเจ้าชายทั้ง 105 คน
นั้นทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การอำนวยของท้าวภีษมะที่เป็นปู่โดยมีอาจารย์สองคนทำหน้าที่เป็นผู้สอนศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆให้
นั่นก็คือ กฤปาจารย์ และ โทรณาจารย์ ในการนี้ยังมีเด็กชายอีกคนที่มิใช่ลูกหลานกษัตริย์โดยตรงเข้าร่วมเรียนด้วย
คือ อัศวถามา ซึ่งเป็นลูกชายของโทรณาจารย์
ในการอบรมศิษย์ทั้งหลายนั้น
โทรณาจารย์ก็เฝ้าจับตาดูความก้าวหน้าของเหล่าศิษย์ก็พบว่ามีราชกุมารพระองค์หนึ่งมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ศิลปวิทยาที่สั่งสอนได้รวดเร็วยิ่งกว่าราชกุมารพระองค์อื่น
ราชกุมารพระองค์นั้นคือ ''อรชุน'' ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นศิษย์เอก
และโดยการช่วยชีวิตของโทรณาจารย์จากภยันตราย
แสดงให้เห็นถึงความไม่กลัวตายของเขาในการอุทิศตน ความประทับใจในทักษะและการอุทิศตนของเขา,โทรณาจารย์
ตัดสินใจที่จะทำให้อรชุนเป็นมือธนูที่ดีที่สุดในโลกา ในขณะเดียวกัน
กรรณะพยายามหาอาจารย์ที่จะสอนวิชาให้กับตนแต่เพราะการแบ่งชนชั้นวรรณะ
ทำให้กรรณะต้องฝ่าความฝันเพียงลำพัง และโกหกวรรณะตัวเองต่อปรศุราม
เพื่อพิสูจน์ว่าเขาคือมือธนูที่ดีที่สุดในโลกาเวลาผ่านมาจนจบการเล่าเรียนโทรณะจัดเวทีแข่งขันเพื่ออวดทักษะของปาณฑพและเการพแต่ละองค์
จนการต่อสู้มาถึงอรชุนและทุรโยธน์
กับมีบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งกลับปรากฏกายขึ้นมาท้าทายอรชุนและมีฝีมือเชิงธนูทัดเทียมกับอรชุน
บุรุษคนนี้คือ
กรรณะ ที่ผู้อ่านทราบมาแล้วว่าเป็นโอรสองค์แรกของกุนตี
เกิดแต่สูรยเทพหรือเทพแห่งตะวัน พระนางกุนตีมีความจำเป็นก่อนอภิเษกสมรสกับปาณฑุ จึงลอยกรรณะไปในตระกร้ากับสายน้ำดังนั้น
กรรณะจึงเป็นเชษฐาองค์โตของภราดาปาณฑุนั่นเองอย่างไรก็ตามกรรณะไม่ทราบว่ามารดาที่แท้จริงของตนเป็นใคร
สารถีเก็บได้แล้วนำไปเลี้ยงจนเติบโต
เหล่าปาณฑพไม่เห็นด้วยกับการประลองเพราะสถานภาพทางสังคมอันต่ำต้อยของกรรณะและจะไม่ทรงต่อสู้กับใครก็ตามที่ไม่มีพระชาติ
เป็นขัตติยะมาตั้งแต่เกิด
แต่ทุรโยธน์ลูกพี่ลูกน้องของภราดาปาณฑพเล็งเห็นโอกาสสร้างพันธมิตรกับกรรณะ
โดยไม่ใส่ใจต่อกฎอันเข้มงวดแห่งวรรณะ
ทุรโยธน์ยกอาณาจักรเล็กๆแห่งหนึ่งให้แก่กรรณะ
ทำให้กรรณะซาบซึ่งใจจึงสาบานเป็นมิตรกับเหล่าเการพตลอดไปในเวลาต่อมาเมื่อท้าวธฤตราษฎร์ทรงจะแต่งตั้งมกุฎราชกุมาร
ที่จำเป็นต้องตกแก่เหล่าปานฑพ แต่เกิดความลำเองในใจโทรณาจารย์จึงขอให้ศิษย์ของตนได้
ไปทำศึกกับมหาราชย์แห่งปัณจาละ
เพื่อตอบแทนอาจารณ์และหาผู้เหมาะสมกับ มกุฎราชกุมาร
สุดท้ายก็เป็นเหล่าปาณฑพที่ทำการสำเร็จก็แต่งตั้งให้ยุธิษฐิระพี่ชายคนโตของพวกปาณฑพขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารแห่งแคว้นกุรุมีสิทธิในการขึ้นครองราชย์
แต่เดิมของท้าวปานฑุ ผลจากการนี้ทำให้พวกปานฑพยิ่งได้รับการยกย่องนับถือและมีอำนาจมากขึ้น
การวางแผนเพื่อจะทำลายล้างพวกปาณฑพ โดยทุรโยธน์พี่ชายคนโตของพวกเการพ
เป็นต้นคิดก็เกิดขึ้นโดยมีน้องชายคนสำคัญคือ ธุชาศันย์และลุงของพี่น้องเการพคือ
ท้าวศุกุนิพี่ชายของพระนางคานธารี ซึ่งเป็นมีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจและเป็นจอมวางแผนให้
รวมทั้งยังมีกรรณะเป็นคนให้การสนับสนุนเป็นสำคัญรวมอยู่ด้วย
แผนการสังหารพวกพี่น้องปาณฑพถูกวางเอาไว้อย่างแยบยล
ด้วยการให้มีการสร้างบ้านรับรองที่ทำด้วยขี้ผึ้งติดไฟง่ายรอท่าไว้
และหลังจากนั้นก็ไปเชื้อเชิญให้เจ้าชายปาณฑพทั้งห้าพร้อมกับพระนางกุนตีไปพักผ่อน
เมื่อพวกปาณฑพเข้าไปพักก็ตัดการวางเพลิงเพื่อหวังให้ไฟคลอกตายทั้งเป็น
เผอิญว่าวิฑูรเป็นผู้เป็นอาทราบข่าวแผนการลอบสังหารนี้ก่อน
จึงได้แจ้งเตือนล่วงหน้าทำให้พวกปาณฑพหนีตายรอดชีวิตไปได้อย่างหวุดหวิด
ทั้งหมดหลบหนีไปทางใต้ดินที่ขุดเอาไว้และไปอาศัยอยู่ในป่า
พวกเจ้าชายฝ่ายเการพต่างก็คิดว่าแผนการทั้งหมดลุล่วงไปด้วยดีถึงขนาดจัดให้มีการทำพิธีพระศพให้
เรื่องราวของ ''มหาภารตะชุดที่
3'' หลังจากเหล่าปาณฑพหนีตายรอดชีวิตไปได้อย่างหวุดหวิด
ทั้งหมดหลบหนีไปทางใต้ดินที่ขุดเอาไว้และไปอาศัยอยู่ในป่า
พวกเจ้าชายฝ่ายเการพต่างก็คิดว่าแผนการทั้งหมดลุล่วงไปด้วยดีถึงขนาดจัดให้มีการทำพิธีพระศพให้
ทางด้านท้าวทรุปัทซึ่งเป็นพระราชาแคว้นปัญจาละ
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำศึกแพ้อรชุนเพื่อแก้แค้นให้โทรณาจารย์ที่เคยเป็นสหายกันสมัยเรียนหนังสือ
แต่กลับคำไม่ยอมให้ความช่วยเหลือเมื่อโทรณาจารย์เดินทางไปขอความช่วยเหลือ
หลังจากเลิกรากันไปแล้ว เนื่องจากพระองค์และมเหสีมีพระธิดาองค์เดียวคือ
"ชิกานดินี" (ชิกานดินีเป็นหญิงแต่จิตใจเป็นชาย
ถูกเลี้ยงเเบบชายตั้งแต่เด็กๆ)
จึงได้ขอร้องให้พระฤาษีอันมีพลังแก่กล้าช่วยทำพิธียาจนาเพื่อขอบุตร ออกมาจากกองไฟ. . .
ทันทีที่พิธีสำเร็จก็มีชายคนหนึ่งผุดขึ้นมาจากกองไฟ ท้าวทรุปัทรับไว้เป็นโอรสของตน
โอรสให้นามว่า ''ธฤษฏะทยุมัน''
แต่ฤาษีต้องให้ธิดาเพิ่มตามชะตาทำให้ทรุปัทไม่พอใจเพราะอยากได้แค่โอรสเลยขอพรแปลกๆลงไป(ติดตามได้ในหนังนะครับ)จนเกิด
ธิดาให้นามว่า ''เทราปตี''
หรืออีกนามว่า ''กฤษณา'' แต่ด้วยกำเนิดจากความไม่ต้องการ เทราปตีจึงไม่ได้ความรักจากบิดา
ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ได้พบกับกฤษณะแล้วได้กฤษณะช่วยจนได้เป็นเหมือนดั่งสหายกัน
ส่วนพวกปาณฑพที่ไปอยู่ในป่าก็ถูกพวกอสูรวริโกดาที่อาศัยอยู่ในป่าโดยการนำของ
อสูรฮิดิมมุ่งหมายจะสังหาร
แต่ว่าภีมะสามารถเอาชนะพวกอสูรและฆ่าอสูรฮิดิมผู้เป็นหัวหน้าได้จนได้เป็นราชาอสูรและยังแต่งงานกับน้องของหัวหน้า
''อสูรฮิดิมบา''
ที่เผอิญมาชอบพอกัน และในภายหลังมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนชื่อว่า ''กาโตคชา''มาบัดนี้ท้าวทรุบทได้จัดพิธีสยุมพรให้กับลูกสาวคือเจ้าหญิงเทราปตีจากคำแนะนำของกฤษณะสำหรับพิธีสยุมพรนั้นเป็นการแต่งงานตามประเพณีเดิมของอินเดียโบราณ
ที่เปิดโอกาสให้เจ้าสาวสามารถเลือกว่าที่เจ้าบ่าวที่ได้รับการเชื้อเชิญมาให้เลือกได้
พวกเจ้าชายปาณฑพซึ่งได้รับการแนะนำจากพราหมณ์ให้เดินทางไปยังเมืองหลวงของแคว้นปัญจาละ
เพื่อร่วมพิธีสยุมพรครั้งนี้ด้วยเพียงแต่ไปในคราบของพราหมณ์
ณ ที่นั้นบรรดาเจ้าชายเการพและเจ้าชายจากแว่นแคว้นอื่นๆ
ก็มารวมตัวกันเพื่อให้เจ้าหญิงเทราปตีเลือกคู่รวมอยู่ด้วย
เมื่อถึงเวลาเจ้าชายธฤตทยุมัน
ซึ่งเป็นพี่ชายของเจ้าหญิงเทราปตีก็ประกาศต่อที่ประชุมว่า
ถ้าหากเจ้าชายคนไหนสามารถใช้คันธนูขนาดใหญ่ของท้าวทรุปัทผู้บิดายิงลูกศรไปยังเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ
ก็จะได้เจ้าหญิงเทราปตีไปครอง
ปรากฎว่าบรรดาเจ้าชายหลายต่อหลายคนได้พยายามยกคันธนูและยิงลูกศรไปยังเป้าหมายที่จัดเตรียมเอาไว้
แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งเหลือกรรณะเป็นคนสุดท้ายที่จะออกมาแสดงฝีมือให้เห็น แต่ก่อนที่กรรณะจะแสดงฝีมือให้ปรากฏ
ทางเจ้าหญิงเทราปตี ซึ่งรู้ว่ากรรณะคงสามารถทำได้เป็นแน่
ก็ประกาศว่าจะไม่ยอมรับลูกของสารถีมาเป็นสามีเมื่อกรรณะได้รับการปฏิเสธและบรรดาเจ้าชายจากแว่นแคว้นต่างๆ
ไม่มีใครสามารถทำได้ตามที่เจ้าชายธฤตทยุมน์ประกาศ คราวนี้ก็มาถึงกลุ่มของพวกพราหมณ์ที่เข้ามาร่วมในพิธีสยุมพรปรากฎว่าในกลุ่มของพราหมณ์นั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นมาจากแถว
ผู้แต่งตัวเป็นพราหมณ์คนนั้นก็คือ อรชุน
และเป็นไปตามที่คาดหมายคืออรชุนสามารถแสดงฝีมือยิงธนูได้ตรงเป้าหมายตามกติกา
เจ้าหญิงเทราปตีก็เข้ามาสวมพวงมาลัยคล้องคอให้อันเป็นการยอมรับและการตัดสินใจเลือกสามีของนางเป็นที่สุด
ทำให้บรรดาเจ้าชายที่ยังอยู่ในมณฑลพิธีต่างก็ไม่พอใจและพยายามจะรุมสังหารท้าวทรุปัทที่เรียกมาทำให้ขายหน้า
แต่ว่าภีมะและอรชุนได้เข้ามาช่วยท้าวทรุบท
หลังจากนั้นเจ้าชายปาณฑพทั้งห้าพร้อมกับเจ้าหญิงเทราปตีก็เดินทางกลับไปยังบ้านพัก
ซึ่งที่นั่นพระนางกุนตีได้เพลอพูดโดยไม่ได้มองว่าอรชุนได้สิ่งใดมา ''นี่เป็นคำสั่งของข้า ไม่ว่าสิ่งใดที่อรชุนได้รับมา พวกเจ้าต้องแบ่งเท่าๆกัน'' ทำให้พระนางกุนตีต้องขอให้เจ้าหญิงเทราปตีรับเป็นภรรยาของเจ้าชายปาณฑพทั้งห้าในเวลาเดียวกัน
โดยผลจากากรนี้ทำให้การซ่อนตัวของเจ้าชายปาณฑพทั้งห้าไม่เป็นความลับอีกต่อไป
ท้าวธฤตราษฎร์พระราชาแห่งแค้วนกุรุที่เป็นลุงจึงได้เชื้อเชิญให้เดินทางกลับไปยังกรุงหัสตินาปุระ
พร้อมกันนั้นก็เกิดเรื่องราวของการดูหมิ่นเทราปตีจนทำให้เหล่าปานฑพขอแบ่งอาณาจักรแคว้นกุรุไปปกครองเอง เหล่าเจ้าชายปาณฑพซึ่งก่อตั้งอาณาจักรของตัวเองโดยมีกรุงอินทรปรัสถ์เป็นเมืองหลวงประสบความสำเร็จขยายอำนาจและอิทธิพลของตนออกไปได้
มีประชาชนและผู้คนให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมาก
และในที่สุดยุธิษฐิระก็ประกาศสถานภาพของตนว่าบัดนี้ได้เป็นจักรพรรดิแล้ว
อันมีความหมายว่าเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่เหนือพระราชาแว่นแคว้นอื่น
ในการนี้ทางราชสำนักกรุงอินทรปรัสถ์ได้เชื้อเชิญพระราชาจากแว่นแคว้นใกล้เคียงกัน
ให้มาร่วมพิธีบวงสรวง ราชศูรยะ เพื่อเฉลืมพระเกียรติ
การดำเนินการดังกล่าวของพวกปาณฑพเป็นไปท่ามกลางความอิจฉาริษยาและเกลียดชังของพวกเการพเป็นอันมาก
และเพื่อเป็นการตอบโต้และลดทอนอิทธิพลของพวกปาณฑพ ท้าวศกุนิผู้เป็นลุงของทุรโยธน์
ได้แนะนำให้ใช้วิธีเชิญท้าวยุธิษฐิระมาเล่นเกมทอดสกาพนันกัน
เพราะศกุนิซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนมีวิชาในการเล่นสกา
เชื่อว่าตัวเองจะเอาชนะและสร้างความอับอายให้กับพวกปาณฑพได้
มหาราชธฤตราษฎร์ผู้เป็นพ่อของทุรโยธน์
ได้รับการร้องขอให้เอ่ยปากชวนยุธิษฐิระมาเล่นสกากัน
แม้ว่าในตอนแรกท้าวธฤตราษฎร์จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับเล่ห์กลดังกล่าว
แต่ในที่สุดก็ทำตามคำขอร้องของทุรโยธน์
โดยให้ท่านวิฑูรเป็นคนเชิญให้ยุธิษฐิระมาเล่นสกากันที่กรุงหัสตินาปุระการเล่นทอดสกาเกิดขึ้นภายในอาคารที่ประชุมที่เรียกว่า
สภา และเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้จึงทำให้ตอนนี้
ของมหากาพย์มหาภาระมีชื่อว่า สภาตอน ในการเล่นทอดสกาเพื่อพนันขันต่อกันนั้น
ปรากฎว่ายุธิษฐิระปราชัยอย่างย่อยยับต้องเสียทรัพย์สมบัติ อัญมณี
เครื่องประดับที่มีค่า รถม้าศึก ข้าทาสบริวาร ช้างม้า
และในท้ายที่สุดยุธิษฐิระได้ขอเดิมพันด้วยอาณาจักรที่ตนเองปกครอง
ซึ่งก็เสียพนันอีก ยุธิฐิระซึ่งบัดนี้ตกอยู่ในภาวะอันบ้าคลั่งของการพนันขันต่อก็เอาตัวเองและพี่น้องปาณฑพอีกสี่คนเป็นเดิมพัน
แต่ก็แพ้อีกและถูกยั่วยุจากทุรโยธน์กับศกุนิให้ใช้พระนางเทราปตีเป็นเดิมพัน
ยุธิษฐิระต้องการเอาชนะให้ได้
ก็ตงลงเดิมพันด้วยพระนางเทราปตีและต้องพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพ่ายแพ้
ทุรโยธน์ก็บังคับให้ส่งตัวพระนางเทราปตีซึ่งมีฐานะเป็นทาสจากการพนันให้ แต่พระนางเทราปตีไม่ยอมมาปรากฏตัว
ทำให้ทุหศาสันลุแก่โทสะไปจิกหัวลากตัวมาจากที่พักและนำตัวมายังที่ประชุมในสภา
ทั้งยังดึงเสื้อผ้าของนางออกแต่ได้มนต์ของกฤษณะช่วยไว้ทำให้ผ้าที่ดึงยาวจนไม่หลุดออกจากตัวเทราปตี
แต่การกระทำย่ำยีครั้งนี้ทำให้ภีมะทนไม่ได้ประกาศก้องกลางที่ประชุมให้สัตย์สาบานว่าจะฉีกอกทุหศาสันเพื่อดื่มเลือดสดๆ
ถ้าหากจะต้องทำสงครามล้างอายในวันข้างหน้า ส่วนทุรโยธน์ซึ่งล่วงเกินพระนางเทราปตี
โดยบังคับให้มานั่งบนตักนั้น
ภีมะก็ประกาศว่าจะล้างแค้นด้วยการจะใช้คทาทุบสะโพกของทุรโยธน์ให้หักสะบั้น
เมื่อเหตุการณ์รุนแรงลุกลามบานปลายมาจนถึงขั้นนี้
มหาราชธฤตราษฎร์ก็เข้ามาไกล่เกลี่ยตามคำร้องขอของพระนางเทราปตี
มหาราชธฤตราษฎร์ให้ยุติการเล่นพนันกินบ้านกินเมืองแล้วสั่งให้ทุรโยธน์ส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ยุธิษฐิระแพ้พนันกลับคืนให้จนหมดสิ้นเพื่อให้เลิกแล้วต่อกัน
แต่ทุรโยธน์ซึ่งยังไม่หายแค้นก็ยังดันทุรังขอให้มหาราชธฤตราษฎร์ผู้เป็นบิดาซึ่งเป็นคนอ่อนไหวโลเล
และตามใจลูกชายให้เชิญยุธิษฐิระมาเล่นพนันทอดสกาเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ตกลงกันว่าถ้าหากใครแพ้คนนั้นจะต้องลี้ภัยเป็นเวลาสิบสองปี
และจะต้องซ่อนตัวไม่ให้ใครพบเห็นในปีที่สิบสามอีกหนึ่งปี
ก่อนจะกลับมาอยู่อย่างปกติในปีที่สิบสี่
ยุธิษฐิระแพ้พนันและต้องลี้ภัยตามข้อตกลงที่ทำไว้กับทุรโยธน์
และเรื่องราวระหว่างอยู่ในป่ารวมไปถึงความตายของพี่น้องปานฑพสี่คน
เพราะไปดื่มน้ำที่มียาพิษเดือดร้อนถึงยุษฐิษระต้องไปร้องขอชีวิตคืน
ด้วยการตอบคำถามของยักษ์ที่เป็นเจ้าของสระน้ำ
ติดตามเรื่องราวอันปวดใจจากการถูกหยามเกียรติในครั้งนี้ได้ใน ''มหาภารตะ
ชุดที่ 4'' รับรองว่าต้องทำให้คุณต้องเสียน้ำตาอย่างมากมายแน่นอน เรื่องราวของ ''มหาภารตะชุดที่
5'' เป็นชุดสำคัญและรวบรวมเรื่องราวสำคัญไว้อัดแน่น
เรื่องราวในชุดที่5 มีหลายตอนหลักๆ ช่วงต้นมีชื่อเรียกว่า วนตอน
อันเป็นเรื่องราวของการใช้ชีวิตในป่าของพวกปาณฑพหลังจากแพ้พนันสกาต่อพวกเการพ
ดำเนินเรื่องต่อจากชุดที่ 4 และว่ากันว่าเป็นตอนที่มีความยาวที่สุด
พิสดารด้วยรายละเอียดแทรกตำนานต่างๆ ไว้มากมายนั้น เริ่มจากพวกปาณฑพต้องลี้ภัยไปอยู่ท่ามกลางความเสียหายของประชาชนที่นิยมชื่นชอบ
ในระหว่างที่กำลังจะเดินทางไปลี้ภัยในป่า
ท้าววิฑูรพยายามอย่างหนักให้ท้าวธฤตราษฎร์ยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวและให้เรียกตัวกลับมาแต่ไม่เป็นผลเมื่อพวกปาณฑพไปอาศัยอยู่ในป่ามีพรรคพวกไปเยี่ยมกันไม่ขาดโดยเฉพาะกฤษณะเองก็ไปเยี่ยมพวกปาณฑพถึงในป่าด้วย
พร้อมกับกระตุ้นปลุกใจให้พวกปาณฑพทำสงครามเพื่อยุติข้อขัดแย้งกับพวกเการพข้อเสนอของกฤษณะได้รับการสนับสนุนจากพระนางเทราปตีและภีมะ
แต่ยุธิษฐิระปฏิเสธและยืนยันขอทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้
วันหนึ่งมีฤาษีชื่อ
พฤหัสทัศวะ ได้มาเยี่ยมและได้ถือโอกาสเล่าเรื่อง พระนลกับพระนางทมยันตีให้ฟัง
เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้อดทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ตำนานความรักระหว่างพระนลกับทมยันตีนั้นเป็นเรื่องราวของความรัก
ซึ่งพระนลต้องได้รับความยากลำบากเพราะมีนิสัยชอบเล่นการพนันทอดสกาเหมือนกับยุธิษฐิระ
โดยมีนางทมยันตีคอยให้ความช่วยเหลือเป็นกำลังใจและอดทนก่อนที่เรื่องจะจบลงด้วยดีในตอนท้าย
ในระหว่างที่อยู่ในป่า
พวกปาณฑพได้มีโอกาสไปเยี่ยมสถานที่อันเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอดีตเป็นจำนวนมาก
และมีโอกาสได้ฟังเรื่องราวในอดีตจากบรรดาผู้บำเพ็ญพรตในป่าหลายต่อหลายเรื่อง
รวมทั้งที่ต้องเผชิญกับการคุกคามของพวกอสูรในป่าหลายต่อหลายครั้ง
แต่ภีมะก็อาศัยพละกำลังแก้ไขสถานการณ์ได้ตามลำดับ
ทางด้านอรชุนเมื่อจบการเดินทางอันยาวนานก็เดินทางกลับมาสมทบกับพี่น้องปาณฑพอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากได้อาวุธวิเศษไว้ในครอบครองเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้พวกปานฑพยังได้มีโอกาสไปพำนักในสวนของท้าวกุเวรเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึงสี่ปีเต็ม
ก่อนจะเดินทางกลับมาพำนักอยู่ในป่าแต่เดิมที่เคยอาศัยอยู่
และที่นั่นพวกปาณฑพยังได้ฟังเรื่องราวตำนานในอดีตที่มีคติสอนใจในเรื่องต่างๆ
จากพวกฤาษีนักพรต ซึ่งแต่ละคนก็มีความกระตือรือร้นที่จะสอนพวกปาณฑพการใช้ชีวิตในป่าสำหรับพวกปาณฑพก็ไม่ต่างจากการได้ฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจของตัวเองพร้อมกับได้เรียนรู้เรื่องที่จำเป็นที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำที่ดีในอนาคตไปพร้อมๆกันด้วย
ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมความพร้อมที่สำคัญมาก
ในช่วงเวลาสิบสองปีของการอยู่ในป่าของพวกปาณฑพและพระนางเทราปที
จะมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
และครั้งหนึ่งท้าวชยัทรัถพระราชาแห่งแคว้นสินธุได้มาลักพาตัวพระนางเทราปทีไป
เดือดร้อนให้พวกปาณฑพต้องไปช่วยเหลือนำตัวกลับคืนมา
ไม่ต่างจากตำนานของพระรามกับนางสีดาในมหากาพย์รามารณะ
พร้อมกันนั้นฤาษีที่อาศัยร่วมกันในป่ายังได้เล่าถึงตำนานของพระนางสาวิตรีซึ่งมีความมั่นคงในความรักต่อสามีคือท้าวสัตยถาวร
ถึงขั้นสามารถดึงรั้งชีวิตของท้าวสัตยวารกลับจากเงื้อมมือของพญายมได้เป็นผลสำเร็จและเรื่องราว
ที่รู้จักกันในชื่อว่า วิราฏตอน
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักรแคว้นมัสยะของท้าววิราฎ
จึงทำให้เรียกเรืองราวตามชื่อของพระราชาคนสำคัญคนนี้โดยเรื่องดำเนินต่อจาการลี้ภัยในป่าในวนตอนว่า
ในที่สุดการลี้ภัยในป่าเป็นเวลาสิบสองปีก็ครบกำหนด แต่ว่าตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
พวกปาณฑพจะต้องซ่อนตัวไม่ให้ใครจำได้อีกเป็นเวลาสิบสองเดือนถึงจะถือว่าทำครบถ้วนตามสัญญาพวกปาณพพเดินทางออกจากป่ามุ่งไปยังแคว้นมัสยะ
แต่ก่อนจะถึงแคว้นมัสยะ ทั้งหมดได้เก็บซ่อนอาวุธไว้ในสุสานนอกเมือง
และเข้าไปในแคว้นมัสยะเพื่อทำงานในราชสำนักของท้าววิราฎ
ดดยยุธิษญิระทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของท้าววิราฎ ภีมะเป็นคนทำครัว
อรชุนเป็นครูสอนเต้นระบำ ส่วนกุลไปเป็นคนเลี้ยงม้า ในขณะที่สหเทพเป็นคนเลี้ยงวัว
สำหรับพระนางเทราปทีไปเป็นนางกำนัลให้กับพระมเหสีของท้าววิราฎในระหว่างที่อยู่ในราชสำนักเกิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง
เมื่อน้องชายของพระมเหสีท้าววิราฎมาล่วงเกินพระนางเทราปที
เดือดร้อนถึงภีมะซึ่งเป็นนักมวยปล้ำต้องเข้ามาช่วยสังหารน้องชายของพระมเหสีท้าววิราฎตายไป
แต่ถึงกระนั้น การปลอมตัวของพวกปาณฑพในราชสำนักแคว้นมัสยะก็ยังไม่เป็นที่รู้กัน
จนกระทั่งเกิดสงครามระหว่างแคว้นมัสยะกับแคว้นกุรุ
พวกพี่น้องปาณฑพได้เข้าร่วมรบทำสงครามจนมีชัยชนะต่อกองทัพจากแคว้นตรีครรตะและแคว้นกุรุ
ซึ่งมีทุรโยธนพี่ชายคนโตของพี่น้องเการพนำทัพมาด้วยตนเอง
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้พวกปาณฑพต้องเปิดเผยตัวเอง เพราะเข้าร่วมทำสงคราม
และบังเอิญว่าเกิดขึ้นในช่วงเกือบจะสิ้นปีที่สิบสามอันเป็นปีสุดท้ายของการซ่อนตัวอย่างยาวนาน
ทำให้เกิดปมประเด็นปัญหาว่าได้ทำตามสัญญาครบถ้วนหรือเปล่า
แต่การเปิดเผยตัวของพวกปาณฑพ
ก็ทำให้ท้าววิราฎยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้คบหากับพวกปาณพพ
นอกเหนือจากมีส่วนร่วมช่วยรบจนสามารถป้องกันจากการโจมตีของข้าศึกได้
ถึงขนาดยกลูกสาวคือ เจ้าหญิงอุตตะระ
ให้แต่งงานกับเจ้าชายอภิมันยุซึ่งเป็นลูกชายของอรชุนด้วย
และเรื่องราว
ซึ่งมีชื่อเรียกว่า อุโทยคตอน อันมีความหมายว่าเป็นความพยายามที่จะมิให้พวกปาณฑพกับพวกเการพต้องทำสงครามกัน
โดยดำเนินเรื่องต่อจากการเปิดเผยตัวของพวกปาณฑพทั้งๆที่ยังไม่ครบเวลาหนึ่งปีในช่วงซ่อนตัวปีที่สิบสาม
ซึ่งถ้าหากทำตามสัญญาได้ครบก็สามารถเข้าไปครอบครองอาณาจักรแต่เดิมที่ยกให้ทุรโยธน์ไปได้
แต่ทางทุรโยธน์บอกว่าไม่ได้ทำตามสัญญา
เพราะฉะนั้นพวกปาณฑพจะต้องลี้ภัยในป่าต่อไปอีกสิบสามปีเหมือนกับเริ่มนับหนึ่งใหม่
เรื่องนี้ไม่สามรถหาข้อยุติได้ต้องตัดสินด้วยการทำสงคราม
ในขณะที่ความพยายามจะหาทางตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามดำเนินไปนั้น
ต่างฝ่ายต่างก็พยายามก่อตั้งพันธมิตรเพื่อเตรียมทำสงครามใหญ่ กฤษณะเองได้รับการติดต่อจากสองฝ่ายเพื่อให้ร่วมกับฝ่ายตนและตกลงยกกองทหารของตนให้กับทุรโยธน์ไป
ในขณะที่ตกลงให้คำแนะนำทำหน้าที่ปรึกษาและให้การสนับสนุนฝ่ายปาณฑพตามคำขอของอรชุน
ท้าวศัลยะเข้าร่วมรบกับฝ่ายเการพ
แม้จะมีฐานะเป็นลุงของฝ่ายปาณฑพโดยทำหน้าที่เป็นสารถีให้กับกรรณะ แต่ท้าวศัลยะก็รับปากกับยุธิษฐิระว่าแม้จะต้องทำหน้าที่เป็นสารถีบังคับรถม้าศึกให้กรรณะ
แต่ก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อมืให้กรรณะได้เปรียบในการทำศึกในระหว่างการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงคราม
ทุรโยธน์ปฏิเสธที่จะทำข้อตกลงสันติภาพ แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสไม่ว่าจะเป็นท้าวธฤตราษฎร์
ผู้เป็นบิดาและพระนางคานธีผู้เป็นมารดาจะขอร้องก็ตามที
ส่วนกฤษณะเองก็ใช้ความพยายามอย่างหนัก
เพื่อชักชวนให้กรรณะมาอยู่ข้างฝ่ายปาณฑพเช่นเดียวกับพระนางกุนตีก็ยอมเปิดเผยตัวในระหว่างไปพบเป็นการส่วนตัวกับกรรณะ
ว่าเป็นแม่ที่ให้กำเนิดเพื่อขอให้กรรณะย้ายข้างมาอยู่กับฝ่ายปาณฑพแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
กรรณะตัดสินใจอยู่กับฝ่ายเการพเพื่อย้ำมิตรภาพระหว่างตนกับทุรโยธน์
แม้จะรู้ความลับชาติกำเนิดแล้วว่าตนเองเป็นลูกพระอาทิตย์กับพระนางกุนตีก็ตามทีเมื่อถึงเวลากองทหารฝ่ายเการพและปาณฑพก็เดินทางเข้าสู่สมรภูมิรบที่ทุ่งกุรุเกษตร
ทางฝ่ายปาณฑพมีธฤตทยุมน์เป็นผู้บัญชาการรบ
ส่วนท้าวภีษมะรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการรบฝ่ายเการพถ้าหากสรุปรวมความแล้วก็ต้องถือว่าเรื่องราวที่ดำเนินมาตั้งแต่ชุดที่
1 ถึงชุดที่ 5 นั้นเป็นการปูพื้นฐานให้คนอ่านได้เข้าใจว่า
ทำไมพวกเการพกับพวกปาณฑพถึงต้องทำสงคราม และถ้าหากไม่ได้รู้เรื่องราวตั้งแต่ต้นและเข้าใจว่ามหากาพย์มหาภารตะเป็นเรื่องการทำสงครามของพี่น้องเการพและปาณฑพเท่านั้น
ก็ต้องถือว่าพลาดในสาระสำคัญของมหากาพย์เรื่องนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์หรือแม้แต่จะเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างธรรมกับอธรรมก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน
เพราะมีตำนาน พงศาวดารหรือมหากาพย์เป็นจำนวนมาก
ไม่ใช่เฉพาะของอินเดียที่บรรยายการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ที่ต้องยุติด้วยการทำสงคราม
ด้วยเหตุนี้เมื่อพิจารณาสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสรต์มนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษที่
20
แท้ที่จริงก็เป็นเรื่องซ้ำรอยเดิมกับสงครามที่ทุ่งกุรุในมหากาพย์มหาภารตะที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าประมาณสามสี่พันปี
ในระหว่างนั้น ยุธิษฐิระได้แสดงความวิตกกังวลถึงความร้ายกาจของกรรณะเพราะรู้ว่ากรรณะได้รับของประทานจากเทพพระอาทิตย์โดยไม่มีใครสามารถทำลายชีวิตได้
ทำให้พระอินทร์ซึ่งได้รับคำแนะนำจากพราหมณ์ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหานี้
โดยที่กรรณะได้รับคำเตือนจากเทพพระอาทิตย์ไว้ก่อนแล้ว
ว่าพระอินทร์ปลอมตัวไปขอเสื้อเกราะและต่างหูที่เป็นอุปกรณ์รักษาชีวิตจากกรรณะ
ทำให้กรรณะต้องคิดหนักในเรื่องนี้
ติดตามความเข้มข้นที่มาถึงจุดแตกหักกันถึงที่สุดแห่งมหากาพย์ได้ใน ''มหาภารตะ
ชุดที่ 6'' เป็นชุดสำคัญและรวบรวมเรื่องราวสำคัญไว้อัดแน่น
เรื่องราวในชุดที่
เป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากการเสียเกราะและต่างหูให้กลับพระอินทร์ จนตนเองได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงอแต่ก็ได้ความช่วยเหลือจากนุกูลและสหเทพ
และในตอนต้น ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ภีษมะตอน
ถือว่าเป็นตอนทีเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร
และด้วยเหตุที่ดำเนินไปโดยมีท้าวภีษมะเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดจึงได้ชื่อนี้เป็นชุดสำคัญและรวบรวมเรื่องราวสำคัญไว้อัดแน่น
เรื่องราวในชุดที่
เป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากการเสียเกราะและต่างหูให้กลับพระอินทร์
จนตนเองได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงอแต่ก็ได้ความช่วยเหลือจากนุกูลและสหเทพ
และในตอนต้น ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ภีษมะตอน ถือว่าเป็นตอนทีเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร
และด้วยเหตุที่ดำเนินไปโดยมีท้าวภีษมะเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดจึงได้ชื่อนี้
ในตอนนี้เองที่เรื่องราวอันเป็นบทสนทนาโต้ตอบที่มีความยาวประมาณ
18 บทซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า ภควัทคีตา ได้สอดแทรกเข้ามาเป็นเนื้อหาหลัก
เนื้อหาในบทสนทนาเป็นตอนที่กฤษณะสั่งสอนอรชุนมิให้ลังเลในการทำสงคราม
แม้ว่าศัตรูจะเป็นญาติของตนก็ตามที บทสนทนาอันสวยสดงดงามและมีความยาวพอสมควร
รวมถึงมีฉากในการแสดงร่างอวตารของมหาเทพ
การต่อสู้ซึ่งดำเนินไปเป็นเวลาสิบวัน มีเหตุให้วาสุเทพกฤษณะ
ได้แสดงถึงอำนาจอีกครั้งโดยมีนักรบวีรชนคนกล้าของฝ่ายต่างรบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนมีเหตุให้วาสุเทพกฤษณะ
จนภีษมะว่าตนจะยุติการสู้รบวางอาวุธด้วยเหตุเดียวคือเมื่อเผชิญหน้ากับ ศิขัณฑิณ
แล้วเมื่อนั้นจะวางอาวุธ
พวกปาณฑพอาศัยคำแนะนำของภีษมะดังกล่าว
ดำเนินการให้ศิขัณฑิณเผชิญหน้ากับภีษมะ
ภีษมะถูกลูกธนูของศิขัณฑิณได้รับบาดเจ็บสาหัสจนร้องขอหลานของตนเหล่าปานฑพให้ทำการปลดปล่อยตนและล้มลงนอนบนเตียงที่ทำจากลูกศรที่อรชุนยิงถล่มเข้าใส่ทั่วร่างกายนั่นเอง
เรื่องราวมาจบลงตรงที่นักรบฝ่ายปาณฑพและเการพต่างไปชุมนุมเพื่อแสดงความเคารพต่อท้าวภีษมะที่นอนรอความตายอยู่บนเตียงลูกศรกลางสมรภูมิ
เรื่องราวในตอนต่อมา ในชื่อเรียกว่า โทรณตอน
ซึ่งเป็นเรื่องราวการทำสงครามบนทุ่งกุรุเกษตรต่อไป
และเนื่องจากโทรณาจารย์ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการรบฝ่ายเการพแทนท้าวภีษมะ
จึงเป็นตัวละครที่มีบทบาทมากที่สุดตามการเรียกขานชื่อนี้นั่นเองเรื่องราวดำเนินต่อไป
เมื่อโทรณาจารย์รับช่วงต่อจากท้าวภีษมะเป็นผู้บัญชาการรบฝ่ายเการพ ในการทำศึก
และกำลังจะเกิดการสร้างความโกรธแค้นของทั้งสองฝ่ายจนทำให้เกิดความสูญเสียที่ไม่อาจจะเลี่ยงได้ติดตามความเข้มข้นที่ในสงครามอันยิ่งใหญ่อันใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแห่งมหากาพย์ได้ใน
''มหาภารตะ
ชุดที่ 6''และคอยติดตาม
กับเรื่องราวสู่ตอนสุดท้ายของมหากาพย์ . . .
เมื่อจุดสิ้นสุด
นำไปสู่บทสรุปแห่งความชอบธรรมกับชุดสุดท้ายที่จบทุกเรื่องราวที่สุดของมหากาพย์
ฉากสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้นหาดูได้ใน ''มหาภารตะ"
เรื่องเล่าจากมหากาพย์
มหาภารตะ ชุดที่ 7 ตอนอวสานสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร ถือเป็นตอนจบอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเรื่องราวที่เหลือดำเนินไปถึงฉากสุดท้ายในกรุงทวารกาของ
''พระกฤษณะ''
ตามคำสาปของ ''พระนางคานธารี'
ก่อนจะยุติลงเป็นตอนอวสานเมื่อ
''พี่น้องปาฑพ''
เดินทางสู่สวรรค์และต้องล้มตายระหว่างทางทีละคนจนเหลือ คนสุดท้ายคือ
''ท้าวยุธิษฐิระ'' ความโกลาหลในโลกมนุษย์ จึงระงับลงได้ด้วยการอวตารลงมาปราบยุคของ
''พระกฤษณะ''
อันเป็นนารายณ์อวตารปางที่ 8 ในที่สุดนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น